
หลวงปู่ทวด หรือ สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ (สมเด็จเจ้าพะโคะ,หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ ,ท่านองค์ดำ,ท่านลังกา) หลวงปู่ทวดท่านเป็นพระมหาเถระผู้ทรงอภิญญาที่รู้จักกันดีในประเทศไทย ในประวัติที่พิมพ์เผยแพร่กล่าวว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์รูปสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา และผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่ทวดเชื่อกันว่าพระเครื่องที่สร้างเนื่องด้วยท่านจะมีอานุภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองผู้มีพระเครื่องหลวงปู่ทวดในครอบครอง
ปัจจุบันหลวงปู่ทวดถือได้ว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาในประเทศไทยที่มีผู้ศรัทธาจำนวนมาก เป็นรูปสำคัญ 1 ใน 2 มหาเกจิอาจารย์ของเมืองไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) หรือหลวงปู่โต ซึ่งเป็นพระที่มีผู้เคารพ บูชานับถือทั่วประเทศไทย
ประวัติหลวงปู่ทวดโดยสังเขป
หลวงปู่ทวด ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม "หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด" เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2125 ที่บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา ได้บรรพชาเมื่ออายุได้ 15 ปี ได้อุปสมบทเมื่อพ.ศ. 2145 ตำแหน่ง อดีตเจ้าอาวาสวัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี และมรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 สิริรวมอายุได้ 100 ปี 80 พรรษาคำสอนหลวงปู่ทวด
เนื้อหา "คำสอนหลวงปู่ทวด" ข้าพเจ้าได้คัดลอกบ้างส่วนมาจากหนังสือ "เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด" ซึ่งล้วนแต่ให้คติธรรมสอนใจ เป็นหนทางสู่ความสงบสุข และให้แนวทางการสร้างความดี และข้อคิดอันหลากหลาย ซึ่งผู้อ่านสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี- คติธรรมประจำใจ
- "พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์"
- เตือนมนุษย์
- "มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่การงานส่วนตัว
มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว
มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก
มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า"
- ละได้ย่อมสงบ
- "ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างในโลกนี้เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ"
- สันดาน
- "ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก"
- ชีวิตทุกข์
- "การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่าตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้านก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย"
- บรรเทาทุกข์
- "การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ"
- ยากกว่าการเกิด
- "ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย"
- ไม่สิ้นสุด
- "แม่น้ำทะเล และ มหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำฉันใด กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุดฉันนั้น"
- ยึดจึงเดือดร้อน
- "ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากลจักรวาล โลกมนุษยนี้ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระตามกรรม ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าสิ่งใดทำแล้วสัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำนี่คือ หลักความจริงของธรรมะ"
- อยู่ให้สบาย
- "เราจะทำอย่างไร ให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง"
- ธรรมารมณ์
- "การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคนและรู้หน้าที่ในการงาน คือรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจเป็นทุกข์"
- กรรม
- "ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์มีความรื่นเริง"
- ผู้เป็นใหญ่
- "ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ"
- ศิษย์แท้
- "พิจารณากายในกาย พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณในวิญญาณ นั่นแหละ คือสานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
- โลกิยะ หรือ โลกุตระ
- คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกิยะ ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ? ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ? ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ? แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง
- มีเหตุมีผล
- "ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา"
- ใจสำคัญ
- "การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย"
- หยุดพิจารณา
- "คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำ อยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้น ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือหยุดพิจารณาแล้วค้นสัจจะของศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้"
- บริจาค
- "ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจการบริจาคภายใน ย่อมได้กุศลมากว่าการบริจาคภายนอก นี่คือเรื่องของนามธรรม"
- ทำด้วยใจสงบ
- "เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้วปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้วจะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก"
- มีสติพร้อม
- "จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คืออย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผลมาอยู่เหนือความจริง"
- พิจารณาตัวเอง
- คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก ๕ นาที หรือ ๑๐ นาทีไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวัน ๆ ว่าที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง"
ขอบคุณที่มาของเนื้อหา:
-คัดลอกบางส่วนจากหนังสือเรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ "หลวงปู่ทวด"
-บางส่วนเว็บไซต์ "gotoknow.org/posts/366453"
-ขอบคุณที่มาของรูปภาพ