คำสอนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) สุดล้ำค่ายิ่งนัก

คำสอนสมเด็จโต,รวมคำสอนสมเด็จพระพุฒาจารย์โต, สมเด็จโต,สมเด็จพุฒาจารย์โต,คำสอนหลวงปู่,หลวงปู่โต,พระพุฒาจารย์โต,สมเด็จวัดระฆัง

สมเด็จโต ท่านมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)" หลวงปู่เป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงที่สุดองค์หนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ของประเทศไทย และยังคงเป็นพระภิกษุผู้เป็นนักบุญซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางที่สุดในประเทศไทย ท่านเป็นที่เคารพนับถือในพลังทางจิตวิญญาณ และเป็นที่ต้องการของพระเครื่องรูปและรูปปั้นของพระองค์ถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรุงเทพ


ประวัติสมเด็จโตโดยสังเขป

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ชื่ออื่นเช่น "สมเด็จโต, หลวงปู่โต, สมเด็จวัดระฆัง" เกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 (84 ปี) ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2343 และได้อุปสมบท พ.ศ. 2351 (พรรษา 64 พรรษา) มรณภาพเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริรวมอายุได้ 84 ปี อยู่ในสมณเพศ 64 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานครได้ 20 ปี


คำสอนสมเด็จโต พฺรหฺมรํสี

เนื้อหา "คำสอนสมเด็จโต หรือหลวงปู่โต" บ้างส่วนได้คัดลอกมาจากหนังสือ "ธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โตพรหมรังสี" ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นหนทางสู่ความสงบสุข และให้แนวทางในการสร้างความดี ซึ่งผู้อ่านสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี

  • หมั่นสร้างบารมีไว้
  • ลูกเอ๋ย...ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมี หลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย หากไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมาก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง

    จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า

  • ตอบแทนคุณพ่อแม่
  • ลูกเอ๋ย…ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อย โกรธง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสดชื่น…

    ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ…

    เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่านหาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่…

    เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริง ก็คือการให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆ ให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน...

    สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย ฯ

  • อานิสงส์การสวดมนต์
  • ยังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

    ดูก่อนท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล.

  • ทางแห่งความสำเร็จ
  • เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้ อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำชำระร่างกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาตร เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีการไปเทศน์ก็ไปเทศน์ตามที่นิมนต์ไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้มีใครเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาการศึกษาเล่าเรียน เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกไปจากกุฏิหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใด ๆ ทั้งสิ้น

  • ทางแห่งความหลุดพ้น
  • เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่าชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้นใครประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสาวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำชำระร่างกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้จิตใจของมนุษย์เศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมแก่งแย่งความชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

  • แต่งใจ
  • ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น จะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้… ใจของเราละ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกายเป็นผู้สั่งบัญชางานให้กายแท้ ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโต เป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ

  • กรรมลิขิต
  • เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างศัตรูบ้างแต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่ ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง

  • นักบุญ
  • การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฎฐิมานะทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส ดังนั้น บางคนนึกว่าเขาสร้างโบสถ์เป็นหลัง ๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า เขาตายไปอาจต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นการทำเพื่อเอบุญบังหน้าในการเสวยสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น

  • ละความตระหนี่มีสุข
  • ดังนั้นบุญที่เขาทำมานี้ถือว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้นจึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกในการทำก็เพื่อไม่ให้เราเป็นคนตระหนี่ รูจักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน

  • อย่าเอาเปรียบเทวดา
  • ในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์เรารู้ว่าสิ่งทีเราทำนี้เป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง กรทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ทุกคนจงอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบในการทำของมนุษย์ แต่ละคนเขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่งอันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใคร และของเรื่องราวนั้น ๆ กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตน ๆ นั้น ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย

  • บุญบริสุทธิ์
  • การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้นก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิ์เป็นขั้นที่หนึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็ติดตามไปให้เสวยในปรภพ คือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากมนุษย์โลกไปแล้ว ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้หำบุญเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน

  • สั่งสมบารมี
  • โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้นเป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน

  • เมตตาบารมี
  • การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้แต่สักว่าให้เขาท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่า ไม่มากและทัศนคติของอาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนานั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน

  • แผ่เมตตาจิต
  • ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรมหรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ทุกคนก็จะไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า

  • อานิสงส์การแผ่เมตตา
  • ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไปเมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคนเมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขา ๆ ก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุก ๆ วัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุก ๆ ดวง ดวงวิญญาณทุก ๆ ดวง ย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้วคือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้

  • ประโยชน์จากการฝึกจิต
  • ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่าง ๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่าง ๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่าง ๆ จะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม


ขอบคุณที่มาของเนื้อหา:
-คัดลอกจากหนังสือเรียน ธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ โตพรหมรังสี"
-บางส่วนเว็บไซต์ "tonboolblog.wordpress.com"
-ขอบคุณที่มาของรูปภาพ

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า
AD BY ADSTERRA

نموذج الاتصال