คำสอนสมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) พระองค์ที่ ๑๙

สมเด็จพระสังฆราช,พระสังฆราช,ประมุขสงฆ์สูงสุด,สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร พระนามเดิม เจริญ คชวัตร ฉายา สุวฑฺฒโน เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกที่มีพระชันษามากกว่าพระสังฆราชในอดีตและเป็นพระองค์แรกของไทยที่มีชันษา ๑๐๐ ปี


ประวัติโดยสังเขป

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ที่ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี บรรพชาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ขณะมีพระชันษาได้ ๑๔ ปี ที่วัดเทวสังฆาราม ได้เข้าพิธีอุปสมบทในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ และพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ สิริอายุ ๑๐๐ ปี ๘๐ พรรษา

  • อำนาจของกรรม
  • อำนาจของกรรมใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก ไม่มีอำนาจใดอาจทำลายได้ แม้อำนาจของกรรมดีก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมชั่ว และอำนาจของกรรมชั่วก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมดี อย่างมากที่สุดที่มีอยู่คืออำนาจของกรรมดี แม้ทำให้มากให้สม่ำเสมอในภพภูมินี้ ก็อาจจะทำให้อำนาจของกรรมชั่วที่ได้ทำมาแล้ว ตามถึงได้ยาก.

  • เมตตาธรรม
  • ธรรมะสำคัญประการหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ คือเมตตาธรรม ใครทั้งหลายก็สรรเสริญบรรดาผู้มีเมตตาธรรม ในขณะเดียวกันก็มีผู้ต้องเป็นทุกข์เพราะมีเมตตา ด้วยหลงเข้าใจว่า เมื่อมีเมตตา มีความสงสารก็ต้องมีใจไม่เป็นสุข ซึ้งที่จริงหาถูกต้องไม่

    มีเมตตาต่อเขาผู้เป็นทุกข์นั้นดีนัก แต่อย่าลืมเมตตาตนเองปล่อยให้ใจตนเองเป็นทุกข์เพราะเมตตาเขาไม่มีอำนาจใด จะไปสู้กับอำนาจกรรมของใครได้ เมื่อเชื่อในเรื่องอำนาจกรรมเช่นนี้ใจก็มีเมตตา ก็จะเป็นการมีเมตตาอย่างถูกต้อง อย่างมีปัญญา ไม่พาใจตนเอง ไปสู่ความเร่าร้อน ด้วยความเมตตาที่ไม่ถูกต้อง.

  • ชีวิตนี้น้อยนัก
  • ปราชญ์กล่าวว่า ชีวิตนี้น้อยนักก็คือ ชีวิตในชาตินี้น้อยนัก ชีวิตในชาติข้างหน้ายาวนาน ไม่อาจประมาณได้ ชีวิตในภพข้างหน้าจะสิ้นสุดเมื่อไร ขึ้นอยู่กับความหมดจดจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น เปรียบชีวิตข้างหน้ากับชีวิตนี้แล้ว ชีวิตนี้จึงน้อยนัก แม้รักตนจริงก็ควรรักให้ตลอดไปถึงชีวิตชาติหน้าข้างหน้าด้วย ไม่ใช่จะคิดเพียงสั้นๆ รักแต่ชีวิตนี้เท่านั้น

  • ผู้มีสัมมาทิฐิ
  • ผู้ฉลาดมีสัมมาทิฐิความเห็นชอบ จักมุ่งมั่นเพียรอบรมสติอบรมปัญญาให้สามารถทำลายกิเลส คือ ราคะ หรือโลภะ โทสะ และโมหะให้หมดจด เพื่อพาตนให้พ้นได้จากความเกิด อันเป็นทุกข์แท้

  • ผลการปฏิบัติ
  • ปฏิบัติเมื่อใด ก็ให้ผลเมื่อนั้น ไม่กำหนดเวลา ดังที่ตรัสไว้ในพระสูตรหนึ่งว่า “ประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ ในเวลาเช้าก็เป็นเช้าดี ในเวลากลางวัน ก็เป็นกลางวันดี ในเวลาเย็น ก็เป็นเย็นดี”

  • ตนควรเป็นผู้สงบ
  • ทุกคนขอให้เริ่มแก้ตัวเองก่อน แก้ให้ใจที่วุ่นวายเร่าร้อนด้วยอำนาจของกิเลส โลภ โกรธ หลง ให้เป็นใจที่สงบเย็นเบาบางจากกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง ที่เคยโลภมากก็ให้ลดลง ที่เคยโกรธแรงก็ให้เบาลง ที่เคยหลงจัด ก็ให้พยายามใช้สติ ใช้ปัญญาให้ถูกตามความจริงให้มากกว่าเดิม ตนเองจะเป็นผู้สงบเย็นก่อน และจะเป็นเหตุให้เกิดความสงบเย็นกว้างขวางออกไปได้ อย่างไม่ต้องลังเลสงสัย

  • เมตตาดังน้ำแข็ง
  • เมตตาเปรียบดังน้ำแข็ง ความโกรธแค้นขุ่นเคืองทั้งหลายเปรียบดังน้ำเดือด น้ำเดือดจำนวนมาก น้ำแข็งที่จะใส่ลงไปในน้ำเดือดเพื่อให้เป็นน้ำเย็น แม้จำนวนไม่เพียงพอ น้ำเดือดก็จะเป็นน้ำแข็งไม่ได้ น้ำแข็งก็จะละลายหมด น้ำเดือดอาจจะเพียงลดความร้อนลงเท่านั้น ถ้าน้ำแข็งมีจำนวนมากเพียงพอ ก็จะสามารถทำใหน้ำที่เดือดพล่านกลายเป็นน้ำแเย็นได้ เย็นเฉียบก็ได้ เป็นผลสำเร็จที่เกิดแต่น้ำแข็งที่เพียงพอ

  • ความทุกข์
  • ความทุกข์คือความมืด ปัญญาคือความสว่าง แสงสว่างส่องเข้าไปสู่ที่ไหน ความมืดย่อมสลายไปจากที่นั้น ปัญญาเกิดขึ้นที่ใด ทุกข์ย่อมดับลงที่นั้น

  • ความเชื่อ
  • ความเชื่ออันตรงต่อหลักพระศาสนานั้น คือความเชื่อในกรรมและผลของกรรม เพื่อที่จะได้ละกรรมที่ชั่วที่ผิด ทำกรรมที่ดีที่ชอบ หากจะมีเครื่องรางของขลังอันใด ทำให้ละกรรมชั่ว ทำกรรมดีได้ ก็จะเป็นยอดของเครื่องรางทั้งหมด

  • กรรม
  • กรรมคือการกระทำทุกอย่างที่ตนทำอยู่ทุกวันเวลา ประกอบด้วยเจตนา คือความจริงใจพระพุทธเจ้าตรัสว่า “เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าคนมีเจตนา ทำกรรมทางกายบ้าง ทำกรรมทางวาจาบ้าง ทำกรรมทางใจบ้าง”

    คำตรัสนี้ มีความหมายง่ายๆ ทุกคนจะทำพูดจะคิดอะไรย่อมมีเจตนา คือความจริงใจนำอยู่เสมอ และวันหนึ่งๆก็ต้องทำ ต้องพูด ต้องคิดอย่างนั้นอย่างนี้ไปตาที่ตนเองจงใจจะทำ นี่แหละคือกรรม วันหนึ่งๆจึงทำกรรมมากมายหลายอย่าง หลีกหนีกรรมไม่พ้น

  • ใจของปุถุชน
  • ใจของปุถุชน คือ ผู้ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ทุกคนย่อมมีกิเลสความเศร้าหมอง มากบ้าง น้อยบ้าง ถ้ากิเลสคือ โลภโกรธหลง มีมาก ความคิดในใจตนก็จะเป็นเหตุให้เป็นทุกข์มาก ถ้ากิเลส คือ โลภ โกรธ หลง มีน้อย ความคิดในใจตนก็จะเป็นเหตุให้เป็นทุกข์น้อย ท่านผู้ปราศจากกิเลสแล้ว ท่านจึงมีความคิดที่ไม่เป็นเหตุให้เป็นทุกข์เลย

  • หลักการทำดี
  • ในการประกอบเหตุให้ดีขึ้นนั้น ก็ต้องทำความเข้าใจหลักที่เป็นมูลฐาน 2 ประการ ดังต่อไปนี้ด้วย คือ “การทำดี” และ “สิ่งที่ดี”

    การทำความดีนั้นต้องเข้าใจว่าต้องการอะไร การกระทำเพื่อให้บรรลุถึงผลอันนั้นโดยชอบ เรียกว่า เป็นการทำดี เช่น เมื่อต้องการความร่ำรวย ก็จะประกอบอาชีพเพียงการกวาดถนนเท่านั้นไม่ได้ ต้องใช้กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังปัญญา ประกอบเหตุแห่งความร่ำรวยด้วย จึงจะได้ผลเป็นความร่ำรวย

    อีกประการหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าดีนั้น จะต้องใช้ปัญญาพิจารณา สุดแล้วแต่ความต้องการ สุดแต่ประโยชน์ที่จะพึงได้ เช่น ในเวลาหิวอาหาร อาหารที่จะบริโภคนั่นแหละเป็นของดี เป็นประโยชน์ที่เราต้องการ นั่นแหละเป็นของดี

    สรุปแล้ว ก็คือ ปัจจัยเครื่องอาศัยอันได้แก่ อาหารสำหรับบริโภค ผ้านุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นี่แหละเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ ส่วนของอื่นๆ เป็นเพียงเครื่องประกอบเท่านั้น สำหรับจิตใจนั้น ความดี หรือสิ่งที่ต้องการ คือ ธรรม ธรรมเป็นความดีของจิตใจ

  • คบคนดีเป็นมิตร
  • เลือกคบแต่คนที่ดีเป็นมิตร ให้ได้ชื่อว่ามีมิตรภาพภายนอกเป็นคนดี ทั้งฝึกหัดตนในทางดี ทางกาย ทางวาจา ทางใจให้ยิ่งขึ้น ป้องกันความชั่วที่ยังไม่ได้ทำ กำจัดความชั่วที่มีแล้วให้เสื่อมศุนย์ ทำตนเองให้เป็นมิตรที่ดีในภายในของตน

  • รักษากายวาจาใจ
  • มีสติควบคุมกาย วาจา ใจของตนไว้ให้มั่น ให้พ้นจากอิทธิพลของกิเลส แม้เป็นปุถุชนก็สามารถเป็นนายของกิเลสได้ ไม่ยอมให้กิเลสเป็นนายได้ เช่น ให้กิเลสกองโลภะหรือราคะนำไปสู่ความขยันหมั่นเพียงในทางที่ชอบ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาต้องการทั้งปวง แต่ไม่ยอมให้นำไปลักขโมยหรือคดโกงเพื่อให้ได้สมปรารถนา ผู้ใดรักษากาย วาจา ใจให้ทำ พูด คิดในสิ่งที่ชอบ ผู้นั้นชื่อว่าถนอมรักษามงคล

  • ผลของความดี
  • การที่มีผู้ทำความดีแต่ละครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ทำ จะได้รับผลดีด้วยตนเองเท่านั้น แต่ผลดีย่อมจักเกิดแก่ผู้อื่นด้วยแน่นอน ผลดีหรือความดีที่มีอยู่ หรือที่เกิดขึ้นนั้น มีอานุภาพกว้างขวาง ยิ่งเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่เพียงไร แม้จะเกิดจากการกระทำของผู้ใดผู้หนึ่งเพียงคนเดียวก็ตาม ผลของความดีนั้น ก็สามารถแผ่ไกลไปถึงผู้อื่นได้ด้วยอย่างแน่นอน เป็นความสุข ความรุ่งเรืองของผู้อื่นได้ด้วยอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าผลดีจะมีขอบเขตจำกัดอยู่เฉพาะผู้ทำเท่านั้น

  • ไม่เป็นพิษเป็นภัย
  • พระพุทธเจ้าก็ตาม พระธรรมคำทรงสอนของพระองค์ก็ตาม ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้ใด ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งเป็นคนสูงและคนต่ำ ทั้งเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีและเป็นยาจกยากจนเข็ญใจ ทั้งเป็นคนดีและคนเลว ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูมุ่งร้ายทำลายก็ตาม ก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยร้ายแม้แต่เพียงเล็กน้อยนัก วางใจได้ทุกขณะจิต ทุกเวลานาทีในสรณะที่แท้จริง คือพระรัตนตรัย

  • คนที่ฉลาดอย่างต่ำ ๆ
  • คนที่คิดฉลาดอย่างต่ำๆย่อมจะคิดเอาเปรียบคนอื่น คิดข่มเหงคะเนงร้ายต่อคนอื่น แต่คนที่มีความคิดอย่างถูกต้อง อันเป็นความฉลาดที่แท้ย่อมจะไม่เอาเปรียบหรือคิดข่มเหงเบียดเบียนใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้ใครข่มเหงได้สำเร็จ คือไม่เบียดเบียนใครด้วย ไม่ยอมให้ใครเบียดเบียนด้วย จึงเป็นคนที่เรียกว่าฉลาดเต็มที่ ส่วนคนที่ยอมให้เขาเบียดเบียนนั้น น่าจะเรียกว่าฉลาดครึ่งเดียว

  • ไม่มีอำนาจใด
  • ไม่มีอำนาจของบุคคลอื่นใด ที่จะสามารถบังคับบัญชาให้ใครหันเข้าแก้ไขตนเองได้ นอกจากอำนาจใจของตัวเองเท่านั้นที่จะบังคับตัวเอง ทั้งยังจะต้องเป็นอำนาจใจที่เกิดจากปัญญาความเห็นถูกต้องด้วย จึงจะสามารถนำให้หันเข้าแก้ไขตนเอง

  • นึกถึงตนเอง
  • โอกาสที่จะได้พบเห็นคนโลภ คนโกรธ คนหลง มีอยู่ทุกเวลานาที เรียกว่า โอกาสที่จะดูตนเองให้เห็นโทษ เห็นผิดของตนนั้น มีอยู่มากมายทุกเวลานาที เช่นเดียวกัน สำคัญที่ว่า ต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้โอกาสอันงามนั้นพ้นไป อย่าลืมนึกถึงตนเองด้วยทุกครั้งไป ที่พบเห็นคนโลภ คนโกรธ คนหลง

    เมื่อเห็นผู้อื่นที่โลภ โกรธ หลงน่ารังเกียจเพียงใด ให้เห็นว่าตนเองที่โลภ โกรธ หลง น่ารังเกียจยิ่งกว่า แล้วพยายามทำตนให้พ้นจากความน่ารังเกียจนั้นให้เต็มสติปัญญาความสามารถ จะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีปัญญา ไม่ปล่อยตนให้ตกอยู่ในความสกปรกของความโลภ ความโกรธ ความหลง

  • เราเป็นพุทธศาสนิกชน
  • เราเป็นพุทธศาสนิก นับถือพระพุทธเจ้า อย่าสักแต่ว่านับถือเพียงที่ปาก ต้องนับถือให้ถึงใจ การนับถือให้ถึงใจนั้น ต้องหมายความว่า ทรงสอนให้ปฏิบัติอย่างไร ต้องตั้งใจทำตามให้เต็มสติปัญญาความสามารถ


ขอบคุณที่มาของเนื้อหา:
-บางส่วนจากหนังสือ "อภิมหามงคลธรรม" (แจกเป็นธรรมทาน)
-บางส่วนจากเพจ "คำสอนสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร" -บางส่วนจากบทพระนิพนธ์ "สมเด็จพระญาญสังวร สมเด็จพระสังฆราช เรื่อง ธรรมะประดับใจ"

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า
AD BY ADSTERRA

نموذج الاتصال